สุขภาพและการแพทย์

รู้จัก ‘เลือดออกในสมอง’ อย่าชะล่าใจ ภัยเงียบถึงตาย มีสัญญาณเตือนอย่างไร

สืบเนื่องจากกรณีนางแบบดัง ออฟฟี่ แม็กซิมหรือ อรพรรณ ด่านศิริพัฒนกุล ที่จู่ๆ นอนหลับหมดสติยาวนานถึง 2 วัน ตื่นมามีอาการปวดหัวอย่างมาก ไปหาหมอพบว่ามีอาการเลือดออกในสมอง ขณะนี้ยังมีอาการปวดอยู่มากจนต้องใช้มอร์ฟีนช่วยระงับความทรมาน และต้องเจาะน้ำที่กระดูกสันหลังออก ไม่งั้นไม่หายปวด

วันนี้ Thaiger ขอพาผู้อ่านมารู้จักโรค “เลือดออกในสมอง” ให้มากขึ้น ภัยเงียบที่เกิดขึ้นในหัวซึ่งไม่ควรมองข้ามสัญญาณเตือน เพราะร้ายแรงถึงชีวิต

Advertisements

เลือดออกในสมอง ภัยเงียบที่คร่าชีวิต

เลือดออกในสมอง หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “อัมพาตเฉียบพลันจากเลือดออกในสมอง” เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เกิดจากหลอดเลือดในสมองที่อ่อนแอแตก ส่งผลให้เลือดไหลออกมาระหว่างเนื้อเยื่อสมอง เลือดที่ไหลออกมาจะกดทับเซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหลายประการ

ผลร้ายแรงจากเลือดออกในสมอง เปรียบเสมือนโดมิโน่ล้ม เมื่อเริ่มเสียหายในจุดหนึ่ง ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง นี่คือความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นกับสมองของคนเรา อันเป็นศูนย์รวมสั่งการทำงานของอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย พังแล้วยากจะกู้คืน

  • เซลล์สมองตาย

เซลล์สมองต้องการออกซิเจนและสารอาหารเพื่อการทำงาน เมื่อเลือดออก เซลล์สมองจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เซลล์สมองตาย ความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของเลือดที่ออก พื้นที่สำคัญที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การพูด หรือความรู้สึก มักได้รับผลกระทบมากที่สุด

  • สมองบวม

เลือดที่ออกในสมองจะสร้างเป็นก้อน กดทับเนื้อเยื่อสมองโดยรอบ สภาวะที่เรียกว่า “สมองบวม” นี้ จะยิ่งจำกัดการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจหมดสติหรือเสียชีวิต

  • สมองทำงานผิดปกติ

เลือดออกในสมองรบกวนการทำงานของระบบไฟฟ้าในสมอง กระตุ้นให้เกิดอาการชัก การชักเป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้สูญเสียการควบคุมร่างกาย

Advertisements

สัญญาณเตือนอันตราย เลือดออกในสมอง

สัญญาณเตือนอันตราย

สัญญาณเตือนของเลือดออกในสมองจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของเลือดที่ออก แต่สัญญาณเตือนทั่วไปที่ควรสังเกตมีดังนี้

  • ปวดหัวเฉียบพลัน: อาการปวดหัว มักถูกอธิบายว่า “ปวดหัวหนักที่สุดในชีวิต” เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และมีความรุนแรงสูงสุดตั้งแต่เริ่ม
  • อ่อนแรงครึ่งซีก: เลือดออกในสมอง มักส่งผลต่อการทำงานของร่างกายครึ่งซีก ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนแรง ชา หรือเป็นอัมพาต ที่แขน ขา หรือใบหน้าครึ่งซีก
  • พูดลำบาก: ผู้ป่วยอาจพูดไม่ชัด พูดวกวน หรือเข้าใจภาษาผิดเพี้ยน
  • มองไม่เห็น: มองเห็นภาพไม่ชัด มองภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นในตาข้างใดข้างหนึ่ง
  • เสียการทรงตัว: ผู้ป่วยอาจเดินเซ ล้มง่าย หรือรู้สึกเหมือนจะล้ม
  • คลื่นไส้ อาเจียน: เกิดจากความดันในกะโหลกศีรษะที่เพิ่มสูงขึ้น หรือการระคายเคืองของก้านสมอง ซึ่งควบคุมการอาเจียน
  • หมดสติ: ในกรณีรุนแรง เลือดออกในปริมาณมาก อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิต

การวินิจฉัยและรักษา

การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว มีความสำคัญต่อการลดความเสียหายของสมอง ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้:

  • การตรวจวินิจฉัย: แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจระบบประสาท และตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น CT Scan หรือ MRI เพื่อหาสาเหตุและตำแหน่งของเลือดที่ออก
  • การรักษา: การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ตำแหน่ง และขนาดของเลือดที่ออก แพทย์อาจใช้ยา ยาต้านการแข็งตัวของเลือด การผ่าตัด หรือวิธีอื่น ๆ

เลือดออกในสมองป้องกันได้อย่างไร

โรคร้ายนี้สามารถป้องกันได้ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ ดังนี้

1. ควบคุมความดันโลหิต

ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุหลักของเลือดออกในสมอง ควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ และรักษาให้อยู่ในระดับปกติ โดยทำได้ดังนี้

  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้
  • ลดอาหารเค็ม ไขมันอิ่มตัว
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • งดสูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม

2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

โรคเบาหวาน เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ โดยการ ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ลดอาหารหวาน แป้งขัดขาว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก และ ทานยาตามแพทย์สั่ง

3. ควบคุมระดับไขมันในเลือด

ไขมันในเลือดสูง ส่งผลต่อความแข็งแรงของหลอดเลือด ควรตรวจวัดระดับไขมันในเลือดเป็นประจำ และควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้เราต้อง ทานอาหารที่มีไขมันน้อย ลดอาหารไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ ทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด ที่สำคัญออกกำลังกายสม่ำเสมอ

4. งดสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ ส่งผลต่อความแข็งแรงของหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ควรเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด

5. ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม

การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ส่งผลต่อความดันโลหิต และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในสมอง ควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม หรือเลี่ยงการดื่ม

6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือด ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์

7. ควบคุมน้ำหนัก

น้ำหนักตัวที่มากเกินไป ส่งผลต่อความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือด ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

8. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ช่วยให้พบปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสามารถรักษาได้ทันท่วงที

9. สวมหมวกกันน็อก

การสวมหมวกกันน็อก ช่วยป้องกันศีรษะได้รับบาดเจ็บ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุ

10. ดูแลสุขภาพจิต

ความเครียด ส่งผลต่อความดันโลหิต ควรหาทางผ่อนคลายความเครียด เช่น การฝึกสมาธิ ฟังเพลง เพราะถ้าเครียดมากๆ จะทำให้เส้นเลือกในสมองแตกได้

แม้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพตามคำแนะนำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในสมอง ห่างไกลจากภัยร้ายนี้ได้ แต่สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครที่จะสามารถดูแลร่างกายได้ดีเท่าตัวเรานั่นเองครับ

เลือดออกในสมองป้องกันได้อย่างไร

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button