งามหน้า สื่ออังกฤษ แฉ หนุ่มไทย ลักลอบเปิดซ่องค้ากาม มีหญิงในสังกัด 40 คน

สื่ออังกฤษ ออกโรงแฉ หนุ่มไทย ลักลอบเปิดซ่องค้าบริการทางเพศ มีหญิงในสังกัด 40 คน หลังลี้ภัยเข้ามาในประเทศอังกฤษเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม เว็บไซต์ เดลี่เมลล์ รายงานว่า นาย ศรัณวี (สงวนนามสกุล) ชายไทยวัย 38 ปีที่ลี้ภัยที่ประเทศอังกฤษ ถูกแฉว่าเขาลักลอบเปิดการค้าประเวณีผ่านเว็บไซต์ และมีหญิงที่ให้บริการกว่า 40 คน อยู่ภายใต้สังกัดของเขา
โดยชายไทยคนดังกล่าวเดินทางมายังประเทศอังกฤษด้วยวีซ่าสุขภาพในปี 2554 และโอเวอร์สเตย์นาน 10 ปี ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมในที่สุด แต่เขาได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อ หลังเขายื่นลี้ภัยกับกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ ภายใต้เงื่อนไขว่าเขาห้ามทำงานในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งการยื่นเรื่องของเขายังไม่เสร็จ แต่เขาก็ยังเดินหน้ายื่นเรื่องต่อไป
อย่างไรก็ตามสื่อผู้ดีเปิดเผยว่า ชายไทยคนดังกล่าวได้เปิดซ่องบริการทางเพศและมีหญิงที่อยู่ใต้สังกัดหลายคน ซึ่งหลายคนอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยราคาค่าบริการนั้นอยู่ที่ราวๆ 7,000 บาทต่อชั่วโมง จนไปถึง 45,000 บาท หากจะคิดค่าบริการแบบค้างคืน (150-1,000 ปอนด์สเตอร์ลิง)
จากการตรวจสอบพบว่าเขาถูกบันทึกว่าเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ 10 แห่งในกรุงลอนดอน และ เอสเซกซ์ ซึ่งเชื่อว่าเขาเช่าสถานที่พวกนี้เพื่อใช้เป็นสถานที่บริการทางเพศ โดยบนเว็บไซต์ของเขาระบุว่า “หากคุณต้องหาหญิงชาวเอเชีย คุณมาถูกที่แล้ว” นอกจากนี้บนเว็บยังมีการติดธงชาติไทยหญิงหลายคนด้วย
หนึ่งในหญิงที่ทำงานใต้ชายไทยคนดังกล่าวระบุว่า เธอคิดเงินค่าเช่าและชายไทยเก็บเงินค่าบริการจากเธอ ขณะที่หญิงอีกคนกล่าวด้วยว่าเธอรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะเธอเคยถูกลูกค้าทำร้ายร่างกายมาแล้ว นอกจากนี้ลูกค้าของสถานบริการทางเพศดังกล่าวระบุว่าพวกเขาได้ร้องตรวจคนเข้าเมืองอังกฤษแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆกลับมา
ทั้งนี้ตามกฎหมายอังกฤษนั้นระบุว่า เป็นเรื่องผิดกฎหมายหาก บุคคลใดควบคุมกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีของบุคคลอื่นเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินภายใต้พระราชบัญญัติความผิดทางเพศ พ.ศ. 2546
นอกจากนี้ การเป็นผู้ดูแลซ่องยังถือเป็นความผิดทางอาญาในการจัดให้มีผู้หญิงเดินทางเพื่อมีเพศสัมพันธ์ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตามทางกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า พวกเขาไม่มีความเห็นเป็นรายบุคคล