ตอบสงสัย หากสนใจเป็นเจ้าของ 7-11 (7-Eleven) ต้องเตรียมเงินลงทุนสำหรับเปิดแฟรนไชส์กี่บาท รายได้จะคุ้มทุนไหม
ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น หรือ 7-11 (7-Eleven) นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตขึ้นในทุก ๆ ปี จากการที่ผู้บริโภคต่างยกให้เป็นร้านสะดวกซื้ออันดับ 1 ของประเทศไทย เหตุเพราะเป็นร้านค้าที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศไทย และมีสินค้าให้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย ตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างดี และที่สำคัญคือ “ราคา” ของสินค้ามีความสมเหตุสมผล
ด้วยเหตุของการเป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคนิยมใช้บริการมากที่สุด ทำให้มีนักธุรกิจหน้าใหม่จำนวนไม่น้อยอยากเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ แต่ติดที่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ การซื้อแฟรนไชส์เซเว่นจะต้องใช้เงินเยอะไหม ลุงทุนกี่บาท หากจ่ายไปแล้วจะคุ้มจริงใช่ไหม หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังสงสัยอยู่ล่ะก็ ที่นี่มีคำตอบให้คุณ
อยากเป็นเจ้าของ แฟรชไชส์ “เซเว่น” ต้องทำอย่างไร
นักธุรกิจหน้าใหม่ที่อยากเป็นเจ้าของเซเว่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การซื้อแฟรนไชส์ธุรกิจร้าน 7-Eleven หรือ การเป็น Store Business Partner มีรูปแบบการลงทุนทั้งหมด 2 ประเภท โดยแต่ละรูปแบบจะมีรายละเอียดเป็นดังนี้
7-11 รูปแบบที่ 1
การลงทุนรูปแบบที่ 1 เป็นการลงทุนที่การแบ่งผลกำไร แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง ซึ่งรูปแบบนี้ทางซีพี ออลล์ เป็นเจ้าของพื้นที่และตัวอาคาร โดยระยะเวลาการทำสัญญาจะอยู่ที่ 6 ปี ผู้ลงทุนต้องจ่ายเงิน 1,480,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 480,000 บาท และเงินประกันความเสียหาย 1,000,000 บาท (จะได้คืนพร้อมดอกเบี้ยหลังเลิกสัญญา) ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เหลือ ทางซีพี ออลล์ จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ทั้งค่าเช่าสถานที่ และการลงทุนอื่น ๆ
รายได้ที่ผู้ลงทุนจะได้รับแต่ละเดือนคือ 29,000 บาท จากการทำงานในตำแหน่งผู้จัดการร้าน และได้ส่วนแบ่งผลกำไร 5% ฐานะผู้ลงทุน แต่สำหรับรายได้จากค่าเช่าหน้าร้านสะดวกซื้อจะเป็นของซีพี ออลล์ ไม่นำมารวมกับส่วนแบ่งผลกำไร
สำหรับผู้ลงทุนรายใดที่ต้องการกู้สินเชื่ออัตราพิเศษ Store business partner โดยธนาคาร ทางสถาบันการเงินจะให้สินเชื่อวงเงินไม่เกิน 600,000 บาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี
7-11 รูปแบบที่ 2
การลงทุนรูปแบบที่ 2 เป็นการลงทุนแบบแบ่งผลกำไร 50:50 ซึ่งผู้ลงทุนจะเป็นเจ้าของพื้นที่และตัวอาคาร ระยะเวลาการทำสัญญาในรูปแบบนี้จะอยู่ 10 ปี โดยเงินลงทุนรวมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจะอยู่ที่ประมาณ 2,630,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 1,730,000 บาท และเงินประกันความเสียหาย 900,000 บาท
รายได้ของผู้ลงทุน หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับมาจากส่วนแบ่งกำไร 54% ส่วนทางซีพีออลล์จะได้ 46%
สำหรับผู้ลงทุนรายใดที่ต้องการกู้สินเชื่ออัตราพิเศษ Store business partner โดยธนาคาร ทางสถาบันการเงินจะให้สินเชื่อวงเงินไม่เกิน 900,000 บาท ระยะเวลากู้สูงสุด 8 ปี
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนในทั้งสองรูปแบบจะได้รับเงินประกันความเสียหาย เมื่อสิ้นสุดสัญญาหรือยกเลิกสัญญา โดยจะได้รับดอกเบี้ยคืนทุกปี ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารกรุงเทพ ณ วันที่ 1 มกราคมของทุกปี
คุณสมบัติของผู้สมัคร
ด้วยเหตุที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และมีการแข่งขันสูง ก่อนจะซื้อแฟรนไชส์ หรือร่วมลงทุนในทั้ง 2 รูปแบบ ทางซีพี ออลล์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครให้ละเอียดถี่ถ้วนดีก่อน ซึ่งคุณสมบัติที่จำเป็นมีทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้
1. เป็นบุคคลที่สามารถจัดตั้งนิติบุคคล จดทะเบียนในประเทศไทยได้
2. มีบุคคลค้ำประกัน
3. มีความพร้อมด้านการลงทุน
4. ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และมาตรฐาน ของบริษัทอย่างเคร่งครัด
5. รักงานบริการ อดทน ไม่ย่อท้อ
6. มีความพร้อมเรื่องบุคคลากร
7. มีเวลาบริหารร้าน
8. สามารถเข้ารับการอบรมเพื่อบริหารร้าน
9. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจ
หลักฐานการสมัคร
- ใบสมัคร พร้อมรูปถ่าย และสำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนา STATEMENT ย้อนหลัง 3 เดือน หรือสำเนาบัญชีเงินฝากประจำย้อนหลัง 6 เดือน
- ใบรับรองแพทย์
ทั้งนี้ สำหรับท่านใดที่สนใจร่วมธุรกิจกับ 7-Eleven สามารถกรอกข้อมูลสมัครได้ที่เว็บไซต์ cpall
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง