‘พิธา’ เผย ตอนนี้ยังไม่มีแผนแก้ ม.112 ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
พิธา เผยยังไม่มีแผนแก้ ม.112 ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมทำงานต่อ ไม่ว่าผลวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 31 ม.ค. จะออกมาอย่างไร
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยการนโยบายหาเสียงการแก้ไข ม.112 จะมีการเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ที่จะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 31 ม.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยการนโยบายหาเสียงการแก้ไข ม.112 จะมีการเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
นายพิธากล่าวว่า ได้มีการคิดเป็นฉากทัศน์ไว้ รวมถึงฉากทัศน์ที่แย่สุด แต่พรรคก้าวไกลก็บริหารจัดการได้ ไม่ได้ทำให้ภาพรวมที่เป็นภาพใหญ่ทั้งปีต้องสะดุดลง แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งไว้เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา
ส่วนแนวนโยบายการแก้ไขมาตรา 112 ที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำงานของพรรคก้าวไกลในปีนี้ มีแนวทางที่จะผลักดันต่อหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยในพรรคยังมีการพูดคุยกันในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ได้ครอบคลุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 แต่จะพิจารณาเป็นรายบุคคลนั้น เหมือนเป็นการพบกันครึ่งทาง แต่ของพรรคก้าวไกลเป็นการนิรโทษรวมมาตรา 112 ด้วยนั้น นายพิธา กล่าวว่าได้มีโอกาสเจอกับนายรังสิมันต์ โรม ที่โรงพยาบาลแต่ไม่มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ ทราบเพียงว่ามอบหมาย นายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ดูแลกรรมาธิการในช่วงนายรังสิมันต์ โรม ลาไปดูแลลูกสาว จึงไม่ทราบว่าตรงตามเจตนารมณ์ของนายรังสิมันต์ โรม หรือไม่
สำหรับความคิดเห็นของตนเอง ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ที่เรามีความขัดแย้งทางการเมืองถ้าหากปีนี้ เป็นการเริ่มต้นใหม่ก็ไม่อยากให้มีการสร้างกำแพงขึ้นมา จะทำให้โอกาสในการสร้างความสมานฉันท์ลดลง และมีเงื่อนไขใหม่เกิดขึ้น จึงคิดว่าน่าจะมีวิธีการในการบริหารจัดการความขัดแย้งทางการเมืองที่มาจากหลายรูปแบบได้รับการจัดการอย่างครบถ้วน
เมื่อถามว่าอุปสรรคใหญ่ของการนิรโทษกรรม ยังติดอยู่ที่ ม.112 และล่าสุด บัสบาส-มงคล ถิระโคตร นักโทษ ม.112 ถูกตัดสินจำคุก 50 ปี และ บุ้ง ทะลุวัง ถูกถอนการประกันตัวไป ทางพรรคก้าวไกลจะขับเคลื่อนบทบาทในการช่วยเหลือมวลชนอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์ ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้พรรคก้าวไกลคงไม่ทิ้ง และหาทางออกร่วมกันของประเทศชาติ ว่าการที่จะทำให้เรามีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ควรออกมาในทิศทางใด โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยาวชนที่อายุน้อยกว่า อายุ 18 ปี หลาย 10 คน
นายพิธา ยังตอบคำถามสื่อต่างชาติด้วยว่า ไม่ว่าผลการคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 31 ม.ค. นี้จะเป็นอย่างไร เราก็ยังจะต้องทำงานต่อ เพราะเราเป็นองค์กร ไม่ใช่แค่เรื่องเป้าหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องมีแผนงานของพรรคในปีนี้