นั่งโต๊ะแถลง เล่าปมในใจกลางรายการโต๊ะหนูแหม่ม ครั้งหนึ่งเคยสิ้นเนื้อประดาตัว ชีวิตตกต่ำขั้นสุด เป็นหนี้ 20 ล้านบาท ต้องขายตึก-กิจการ เพื่อปลดหนี้
ติ๊ก ชิโร่ หรือชื่อจริงว่า มนัสวิน นันทเสน เป็นนักร้องและนักแสดงที่อยู่มาแล้วทุกยุคทุกสมัย การันตีคุณภาพด้วยผลงานในทุกสายของวงการบันเทิง ซึ่งแน่อนอนว่าแฟน ๆ ก็จะคงคุ้นเคยกับภาพหน้าฉากของนักร้องท่านนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าชีวิตหลังกล้องของเขาต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย เคยตกต่ำแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 ‘ติ๊ก ชีโร่’ ได้เปิดอกเล่าประสบการณ์ที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน ผ่านรายการ โต๊ะหมูแหม่ม ซึ่งหนุ่มติ๊กได้เผยความลับให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเคยหมดสิ้นแทบทุกอย่างในชีวิต ไม่มีทรัพย์สิน ติดลบทุกอย่าง ทั้งยังเป็นหนี้อีก 20 ล้านบาท
พิธีกรสาว ‘หนูแหม่ม สุริวิภา กุลตังวัฒนา’ ได้เริ่มต้นรายการด้วยการกล่าวถึงบรรดาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของ ‘ติ๊ก ชีโร่’ ในฐานะของการเป็นคนบันเทิง ที่ในขณะเดียวกันเรื่องราวชีวิตส่วนตัวก็กลับไม่ได้ราบเรียบเหมือนกับเรื่องงาน ทางพิธีจึงได้ถามถีงชีวิตที่ผ่านมาว่า กว่าจะมีวันนี้ผ่านวิกฤตมาหนักมาก
นักร้องหนุ่มตอบว่า “หนักสุดคือช่วงต้มยำกุ้ง ชีวิตพลิกตอนนั้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ขายอุปกรณ์ทุกชนิด อย่างที่เคาะกระจก ที่วางแก้ว ทำเป็นธุรกิจใหญ่เลย แล้วก็ทำธุรกิจเครี่องดื่ม เรดี้ทูดริงค์ ตอนนั้นนำเข้ามาวางขายทุกผับเลย มาจากเยอรมัน เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับแชมเปญ สุดท้ายพังหมด
ตอนนั้นมันเป็นช่วงต้มยำกุ้ง แล้วมีข่าวออกมา น่าจะมีคนรู้ ว่าจะต้องมีคนได้ประโยชน์มีคนเสียประโยชน์ บางคนเขามีพรายกระซิบมาบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ให้ซื้อดอลลาร์เก็บไว้นะ มีบ้านขายบ้านมีรถขายรถเอาเงินไปซื้อดอลลาร์ คือรู้ป่าวมันขึ้นไปจาก 30 บาท กลายเป็น 55 บาท ไม่ทันได้เตรียมตัวมันวูบเลย รู้ไหมว่าเราไม่ได้ไปอยู่ในจุดที่ศูนย์มันกลายเป็นติดลบ ลงไปนรกชั้น 20 ติดลบไปทั้งหมด 20 ล้าน จากที่เราอยู่ดี ๆ”
จากสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ทางหนูแหม่มจึงถามถึง วิธีรับมือกับปัญหา หนุ่มติ๊กตอบว่า “มันเหมือนร่องลอย เอาเงินไปให้แบงค์นี้ แบงค์นี้โดนครอบงำเพราะแบงค์นี้ เรียกว่าจ่ายตังค์ไปน้ำตาไหลเลย ตอนหลังก็เลยบอกกับภรรยาเรากลับไปอยู่เยอรมันกันดีกว่า ย้ายประเทศดีกว่า เพราะภรรยาเราอยู่ที่นู้น มีร้าน Asia shop อยู่ที่นู่น ตั้งใจว่าจะไปตั้งหลักใหม่
ที่นี้พอถึงจุดนึงเตรียมตัวแล้วว่าจะไปตั้งหลักที่นู่น แต่เราคิดว่าเราเป็นอาร์ตติสท์ เป็นนักร้องเป็นคนทำงานอยู่ในวงการบันเทิง วันนี้เราจะไปแล้วเหรอ ตัดสินใจใหม่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราอดอยากเติบใหญ่มาขนาดนี้ มีความอดทนมาขนาดนี้คิดว่าเรื่องแค่นี้เราจะอดทนมันไม่ได้หรอ เลยตัดสินใจว่ายังไงเกิดที่นี่ก็ต้องตายที่นี่ สู้ที่นี้เปลี่ยนใจไม่ไป”
จากนั้นจึงถูกถามถีงวิธีตั้งหลักและการแก้ปัญหา ตั้งหลักยังไงให้ผ่านวิกฤตครั้งนั้น “ขายทุกอย่าง สากกระเบือยันเรือรบ เริ่มต้นใหม่หมด พวกตึกพวกสตูดิโอ ก็มีบางบริษัทมาเขาซื้อมาขอเช่า มีอะไรก็ค่อย ๆ ทยอยขายไป ทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ทำอยู่แบบนี้มาตลอด”
นอกจากนั้นหนุ่มติ๊กยังได้เผยด้วยว่า วิกฤตครั้งนี้แม้จะรับมือกับปัญหาได้แต่โอกาสที่จะกลับมาร้องเพลงก็มีน้อยมาก จึงเป็นเหตุให้ต้องผันตัวไปเป็นพิธีกร แต่พอมีโอกาสกลับมาทำเพลงก็กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าใด จนกระทั่งปล่อยเพลง รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ชีวิตจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
“ตอนนั้นต้องบอกว่าไม่มีโอกาสที่จะร้องเพลงเลย หันหน้าไปเป็นพิธีกรมากกว่า หลังจากวิกฤตนั้นไปเป็นพิธีกรอยู่ 10 ปี แล้วถึงเวลามีโอกาสกลับมาทำเพลงก็เลยอ่ะดึงเอาเพลงออกมา เพลงแรกโบ๋เบ๋ เพลงที่สองคว้าน้ำเหลว เพลงที่สามวินาศสันตะโร คิดว่าคงหมดแล้ว แต่อยู่ๆ เพลงนี้มันก็ค่อยๆ มาเป็นลูกข่างพุ่งขึ้นเลย บึ้มไปเลย แล้วอยู่ๆ พี่เก้ง จีทีเอช ได้ยินเพลงนี้ก็ติดต่อมาให้มาแต่งเพลงหนังตั๊ดสู้ฟุด
หลังจากนั้นเพลงนี้คนก็เริ่มพูดถึง มีคนเอาเพลงนี้ไปฟังกัน ถือเป็นเพลงที่กอบกู้ชีวิต ติ๊ก ชีโร่ ไม่ผิดเลย จนวันนึง พี่ป้อม อัสนี เขาอยากร้องเพลงนี้ ก็เลยต่อรองกัน เพลงเลยยิ่งดัง เราคิดว่าเพลงนี้จะเป็นโอกาสให้กลับมายืนหน้าเวทีอีกครั้งหลังจากที่เราเจอวิกฤตเจอมา แล้วเพลงนี้ก็ทำให้เรากลับมายืนได้อีกครั้ง”
หากจะพูดว่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ติ๊ก ชีโร่’ ไม่เคยง่ายก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังในอดีตกลับมีหลายเหตุการณ์ที่ทำใก้เกือบยอมแพ้กับตัวเองและยอมแพ้ให้กับสิ่งที่รัก แต่สุดท้ายความสามารถและความมุ่งมั่นตั้งใจจริงก็เกิดผลสำเร็จ ชื่อของนักร้องหนุ่มคนนี้จึงยังเป็นที่พูดถึงในทุกยุคทุกสมัย
ทั้งนี้ หากผู้อ่านอยากติดตามเรื่องราวประสบการณ์ของเหล่าศิลปินดาราก็สามารถรับชมได้ทางรายการโต๊ะหนูแหม่ม ช่องเวิร์คพอยท์ ออกอากาศทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 11:10 น. เป็นต้นไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง