ช้ำใจ.. สาวไทย โดนตม.เกาหลี กักตัวช่วงปีใหม่ พรากลูกไม่ได้เคาท์ดาวน์ด้วยกัน พยายามอธิบายแต่เจ้าหน้าที่ไม่ฟัง เทศกาลเฉลิมฉลองกลายเป็นฝันร้ายของครอบครัว
มหากาพย์ความโหดของด่านตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี ยังคงมีคนออกมาเล่าให้ได้ฟังกันอยู่เรื่อย ๆ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา สาวไทยรายหนึ่งก็ได้ออกมาเผยว่า ตนกับครอบครัวถูกพรากออกจากกันในวันปีใหม่ ทั้งที่ตั้งใจจะพาลูกมาเคาท์ดาวน์ เผยหมดเงินไปหลักแสน ต้องแปลข้อความวอนเจ้าหน้าที่ ขอบินกลับบ้านพร้อมลูก
สาวไทย ติด ตม. เกาหลี ถูกแยกพ่อแม่ลูก
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น สาวไทยรายนี้ได้เล่าผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ตนเดินทางเข้า-ออกเกาหลีมาแล้วนับสิบครั้ง ซึ่งในครั้งนี้หลังจากลง KETA และได้รับการอนุมัติ ก็มั่นใจว่าจะผ่าน ตม. ไปได้แน่นอน โดยในการเดินทางก็ได้ขอที่นั่งกว้างสำหรับเด็กด้วย เพื่อที่จะได้ให้ลูกนอน
ต่อมาเมื่อเครื่องลงตอน 21.30 น. ตนก็พาลูกไปเปลี่ยนแพมเพิร์สและเข้า ตม. พร้อมกันยกครอบครัว ทว่าสามีกับลูกผ่านเข้าไปได้ แต่ตนกลับโดนทาง ตม. กักตัวไว้ ซึ่งเธอได้ตอบตอนสัมภาษณ์ว่า ตั้งใจพาลูกกับสามีมาเคาท์ดาวน์ด้วยกันที่นี่ ซึ่งตอนประมาณ 07.10 น. เจ้าหน้าที่พิมพ์เอกสารออกมาให้เธอเซ็นชื่อ โดยเธอรอขั้นตอนต่าง ๆ มานานกว่า 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ด้านเจ้าหน้าที่ได้สัมภาษณ์เธอเป็นภาษาไทย ซึ่งมีล่ามช่วยแปลในสายโทรศัพท์ โดยทางตม.ได้ถามเรื่องที่เธอมาครั้งล่าสุด ซึ่งเธอจำไม่ค่อยได้ เพราะผ่านไปนานราว 4-5 ปีแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่พอใจกับคำตอบของเธอ และไม่อนุมัติให้เธอผ่านเข้าประเทศ ซึ่งเธอพยายามแปลภาษาให้เจ้าหน้าที่อ่าน แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ปฏิเสธ ทำให้เธอต้องติดอยู่ในห้อง ตม. รวมกับคนอื่นอีก 30-40 คน
ตม. เกาหลีใต้ ส่งตัวกลับไทย
สุดท้ายความพยายามของเธอไม่เป็นผล เพราะเจ้าหน้าที่ให้เธอนั่งให้ห้อง เพื่อรอสายการบินมารับกลับไทย ซึ่งเธอรู้สึกไม่พอใจมาก เพราะสามีกับลูกผ่านเข้าไปได้โดยไม่มีแม่ อีกทั้งพาสปอร์ต รวมถึงเงินใช้จ่ายของครอบครัว ต่างก็อยู่ที่เธอทั้งสิ้น เธอจึงแปลภาษา ขอให้เจ้าหน้าที่รับสามีกับลูกเธอด้านนอกมาให้หน่อย เพื่อจะได้บินกลับไทยด้วยกัน
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ทำเป็นมึน เธอเลยโวยวาย ทำให้เจ้าหน้าที่จะพาเธอไปอีกที่หนึ่ง เธอจึงไม่ยอม และย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่า จะไม่กลับไทยคนเดียว นำไปสู่การปะทะทางอารมณ์กับเจ้าหน้าที่ จนเมื่อผู้จัดการมาถึง ก็ได้มีการประสานงานให้ โดยให้สามีกับลูกของเธอไปรอที่หน้าเกต
ส่วนเธอได้ถูกเจ้าหน้าที่พามายังห้องใต้ดิน อีกทั้งยังโดนยึดพาสปอร์ต ไม่สามารถซื้อของหรือทำอะไรได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้พาสปอร์ตแบบถ่ายเอกสารกับเธอไว้ เพื่อไปแลกอาหารมาทาน โดยมีเจ้าหน้าที่ตะคอกใส่ตลอด ซึ่งเธอปฏิเสธอาหารทำให้เขามาเก็บออกไป โดยในระหว่างนั้นเธอได้เขียนอุทธรณ์ส่งไปด้วย ทว่าเจ้าหน้าที่บอกให้เธอรอตอนเช้า ทั้งที่รู้ดีว่าเธอมีไฟล์ทบินตอนเย็นวันนั้น
ตัดสินใจแบนเกาหลีตลอดชีวิต
กระทั่งช่วงบ่าย 14.30 น. ของวันเดียวกัน สามีเผยว่าเช็กอินไม่ได้ทั้งที่เธอมีไฟล์ทบินแล้ว ทำให้เธอต้องไปแปลภาษาให้เจ้าหน้าที่ฟังอีก ซึ่งในตอนแรกอีกฝ่ายตะคอกว่า “ไม่” และไม่รับฟัง เธอจึงไปโวยวายกับระดับหัวหน้า เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าเธอต้องการกลับไทยใช่หรือไม่ เธอจึงตอบว่าใช่ เจ้าหน้าที่เลยดึงเอกสารการขออุทธรณ์เธอออกจากระบบ เพื่อให้เธอเซ็นกำกับ
จากนั้นในเวลา 16.00 น. หัวหน้าสายการบินก็ได้มารับเธอที่เกต ทำให้เธอได้เจอกับครอบครัวอีกครั้ง แต่ในตอนที่ขึ้นเครื่อง เธอกับครอบครัวได้นั่งแถวหลังสุด แถมเจ้าหน้าที่ยังไม่คืนพาสปอร์ตให้ และให้เธอออกเป็นคนสุดท้าย พร้อมพาเธอไปทำประวัติการเดินทางเข้าประเทศ ถึงจะยอมให้เธอกลับบ้านในที่สุด
ทั้งนี้เธอเผยว่าตนเสียความรู้สึก เพราะที่ผ่านมาสามารถเข้า-ออกเกาหลีใต้ได้ตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่ผ่าน ซ้ำครอบครัวยังต้องเจอเหตุการณ์เลวร้าย จึงตั้งใจว่าหลังจากนี้จะแบนเกาหลีไปตลอดชีวิต.
