ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ คันแรกของรัสเซีย ถูกชาวเน็ตล้อเลียนในโซเชียล บอกเป็นรถยนต์ที่น่าเกลียดที่สุดในโลก เพราะการออกแบบที่ไม่น่าดึงดูดสักนิด
บางครั้งนวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ก็สร้างความฉงนใจว่า ทำไมผู้ผลิตถึงเลือกที่จะออกแบบให้เป็นเช่นนี้ วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2566 เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ Oddity Central รายงานข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า แอมเบอร์ ยันตาร์ (Amber Yantar) รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จากรัสเซีย ซึ่งกำลังถูกชาวเน็ตล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์อย่างหนักหน่วง
แอมเบอร์ ยันตาร์ เป็นรถต้นแบบอีวี (EV) ที่ออกแบบโดย Avtotor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติรัสเซียในเมืองคาลินินกราด โดยผู้ผลิตรายนี้ร่วมมือกับสถาบันโพลีเทคนิคมอสโก และได้เปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อไม่กี่วันก่อน
ก่อนหน้านี้ Avtotor ประกาศว่ามีแผนจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายันตาร์ให้ได้มากถึง 50,000 คันในปี 2568 อีกทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์ทางไฟฟ้าทั้งหมดของรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์ แผงควบคุม และแบตเตอรี่ทุกชิ้น จะได้รับการออกแบบและผลิตในรัสเซียทั้งหมด
แม้จะประกาศอย่างชัดเจนว่าจะผลิตเอง แต่สุดท้ายทางผู้ผลิตรถยนต์ก็ต้องร่วมมือกับบริษัทของจีนในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทางผู้ผลิตเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคน้อยมาก ทราบแค่ว่าราคาไม่แพง และมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 25kW/h อีกทั้งผู้ขับขี่ยังสามารถเช่าแทนการซื้อได้ แต่สิ่งที่ไม่น่าประทับใจเท่าไรคือ ความเร็วสูงสุดของรถยนต์จะอยู่ที่ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ด้วยข้อมูลทางเทคนิคค่อนข้างน้อย ทำให้ประชาชนไม่ได้ให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้ามากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้คนไม่ค่อยอยากจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ายันตาร์สักเท่าไร เป็นเพราะรูปลักษณ์และการออกแบบที่แปลกประหลาด ทั้งยังถูกนำไปเป็นมีมและถูกล้อเลียนบนโลกออนไลน์เยอะจนนับไม่ถ้วน
ชาวเน็ตบางคนบอกว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ เป็นรถที่น่าเกลียดที่สุดที่เคยมีมา เมื่อถูกคอมเมนต์แรง ๆ แบบนี้ ด้าน Avtotor รีบออกมาชี้แจงทันทีเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทว่า รถยนต์ไฟฟ้าสีแดงคันนี้ เป็นเพียงต้นแบบเท่านั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างจริงจัง ทางบริษัทจะออกแบบให้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เมื่อผู้ผลิตออกมาพูดแบบนี้ ชาวเน็ตก็งงอีกว่า ถ้าของจริงไม่ใช่แบบนี้ แล้วบริษัทจะเปิดตัวทำไมตั้งแต่แรก เพราะตัวอย่างควรจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจไม่ใช่ตกใจ แต่ไม่ว่าผู้ผลิตจะพูดแบบไหน เรื่องรูปลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้ายันตาร์ก็แพร่สะพัดไปทั่วโซเชียลแล้วเรียบร้อย
อ้างอิง : Oddity Central
