รถยนต์มือสองเป็นอีกทางเลือกน่าสนใจสำหรับคนอยากมีรถใช้ขับขี่เดินทางแต่สู้ราคารถยนต์มือ 1 ไม่ไหว ราคาขายถูกกว่าเนื่องจากหักลบค่าเสื่อมสภาพ
ปกติแล้ว ราคารถยนต์มือ 2 จะลดลงประมาณ 25-40% จากราคารถยนต์มือ 1 ภายใน 3 ปีแรก และลดลงประมาณ 50-70% ภายใน 5 ปีแรก
ดังนั้นการเลือกรถยนต์ใช้แล้วจึงต้องพิจารณาให้มาก แม้ว่าราคาจะถูกลงกว่าเยอะ แต่ต้องแลกมากับสภาพรถที่ไม่ได้ดีเท่าของใหม่ โดยเฉพาะอายุการใช้งาน
รถยนต์มือสอง อายุการใช้งาน เทียบกับรถยนต์มือ 1
แน่นอนว่าอายุการใช้งานของรถยนต์มือสองจะน้อยกว่ารถยนต์มือ 1 โดยมีปัจจัยหลัก ๆ คือสภาพรถ ระยะทางการใช้งาน ประวัติการซ่อมบำรุง อะไหล่รถ ที่สำคัญ อายุการใช้งานของการเป็นมือ 1 ยิ่งใช้งานมานานแล้ว อายุใช้งานต่อของเราก็จะสั้นลง
ตามค่าเฉลี่ย รถยนต์มือสองมีอายุการใช้งานประมาณ 4-8 ปี อาจมากกว่านั้นหากได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่กำหนด เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะทางที่กำหนด ตรวจสอบและซ่อมแซมตามอาการ หลีกเลี่ยงการขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือขับขี่แบบกระชากบ่อยๆ
การพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์จึงสำคัญ ซึ่ง Thaiger ได้สรุปรวมเทคนิคการเลือกมาให้ด้านล่าง
จุดพิจารณารถยนต์มือสองก่อนซื้อ
เพื่อให้การซื้อรถยนต์มือสองนั้นคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย และใช้งานได้อย่างยาวนาน เราต้องมีจุดสังเกตดังนี้
1. ดูงบประมาณในกระเป๋าตัวเอง
ควรพิจารณาความต้องการและงบประมาณของตนเองให้ดีว่าต้องการรถประเภทใด จะใช้สำหรับวัตถุประสงค์อะไร จะใช้เดินทางไกลหรือเดินทางในเมืองเป็นหลัก ต้องการรถที่มีสมรรถนะสูงหรือเน้นประหยัดน้ำมัน เป็นต้น และควรกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อไม่ให้บานปลาย
นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงด้วย เนื่องจากรถยนต์มือสองจะมีค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่และชิ้นส่วนต่างๆ มากกว่ารถยนต์ใหม่ เจ้าของรถควรเตรียมเงินไว้สำหรับซ่อมบำรุงรถเป็นประจำ เพื่อให้รถสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
2. ตรวจสภาพรถอย่างละเอียด
จุดนี้สำคัญมาก ต้องตรวจสภาพรถอย่างละเอียดด้วยตัวเอง หรือให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบให้ ตรวจสอบทั้งภายนอกและภายในรถ ซึ่งมีจุดสังเกตดังนี้
- ภายนอกรถ – ตรวจสอบรอยตำหนิ รอยชน รอยบุบ รอยสนิม ไฟหน้า ไฟท้าย ยาง ล้อแม็ก
- ภายในรถ – ตรวจสอบสภาพเบาะนั่ง แผงคอนโซล แผงหน้าปัด พวงมาลัย เกียร์ เบรก คลัตช์
- เครื่องยนต์ – ตรวจสอบความสะอาดของเครื่องยนต์ ระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำหล่อเย็น เสียงเครื่องยนต์ กลิ่นควัน
- ระบบไฟฟ้า – ตรวจสอบการทำงานของระบบไฟต่างๆ เช่น ระบบไฟหน้า ระบบไฟท้าย ระบบไฟเบรก ระบบไฟภายในรถ เป็นต้น
3. ตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุง
ควรสอบถามประวัติการซ่อมบำรุงจากเจ้าของรถเดิมหรือศูนย์บริการ เพื่อให้ทราบว่ารถเคยมีอุบัติเหตุหรือได้รับการซ่อมแซมมาหรือไม่ เพราะประวัติการซ่อมบำรุงจะบ่งบอกถึงสภาพและการใช้งานของรถว่าได้รับการดูแลรักษามาเป็นอย่างดีหรือไม่ หากรถได้รับการดูแลรักษามาเป็นอย่างดี รถเมื่อเราใช้ต่อก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ไม่เสียบ่อยๆ
ในทางกลับกัน หากรถถูกขับแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่เคยเช็กสภาพรถตามกำหนด ไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่เคยตรวจสอบและซ่อมแซมตามอาการ ขับรถแบบกระชากบ่อยๆ มีโอกาสเกิดปัญหาต่างๆ ได้ง่ายและมีอายุการใช้งานที่สั้นลง
4. ตรวจสอบเอกสารสำคัญของรถ
ควรตรวจสอบเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น เล่มทะเบียนรถ คู่มือการใช้รถ ใบรับประกัน เพื่อป้องกันปัญหารถผิดกฎหมาย สวมทะเบียน เพราะมีหลายครั้งที่รถถูกขโมยแล้วนำมาขายต่อ คนซื้อมีโอกาสโดนจับข้อหารับซื้อของโจรได้โดยไม่รู้ตัว
5. ทดลองขับ
ควรทดลองขับเพื่อทดสอบสมรรถนะของรถ และตรวจสอบว่ารถมีเสียงดังหรือผิดปกติหรือไม่ เราที่ขับรถจะได้สัมผัสความรู้สึกเวลาขับรถกับคันจริง จะได้รู้ว่ารถมีความนุ่มนวลในการขับขี่เพียงใด เครื่องยนต์มีกำลังเพียงพอหรือไม่ ระบบเบรกทำงานได้ดีไหม เป็นต้น
หากรถมีเสียงดังหรือผิดปกติ เช่น เสียงเครื่องยนต์ หรือ เสียงช่วงล่างดังผิดปกติ เสียงระบบเบรกดังผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงปัญหาหรือข้อบกพร่องของรถ เราไม่ควรซื้อคันนี้
นอกจากนี้ การทดลองขับรถยังช่วยให้ผู้ซื้อได้ลองใช้ฟังก์ชันต่างๆ ของรถ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง ระบบนำทาง เป็นต้น เพื่อดูว่าตอบสนองความต้องการของตนเองหรือไม่
ดังนั้นการซื้อรถยนต์มือสองจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน แม้ว่าราคาจะถูกลงแต่ก็แพงอยู่ดีหากซื้ของไม่ได้คุณภาพมา เราจึงต้องเลือกพิจารณารถที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดก่อนซื้อ เพื่อให้อายุการใช้งานของรถอยู่กับเรามากที่สุดจึงคุ้มเงินที่จ่ายไป