ธนาคารอิสลาม ออกแถลงการณ์ แจงกรณีทำโฉนดบ้านและที่ดินของลูกค้าสูญหาย เป็นเหตุให้ไม่สามารถขาย เพื่อชำระหนี้ได้ ยันไม่ได้หายระหว่างเก็บรักษา พร้อมเยียวยา ออกใบแทนแล้ว
จากกรณี นายไพศาล อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว เนื่องจากนำโฉดบ้านและที่ดิน 418 ตารางวาไปจำนองกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคาร ย่านพระราม 9 แต่เมื่อติดต่อธนาคาร เพื่อไถ่ถอนโฉนดบ้านและที่ดินคืน ทางธนาคารกลับแจ้งว่า โฉนดหายไปตั้งแต่ 2564 ต้องใช้เวลาอย่างเร็ว 30 วัน และมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท ทำให้ไม่สามารถเพื่อใช้หนี้บ้านใหม่ได้ โดยธนาคารปฏิเสธการรับผิดชอบและกล่าวขอโทษ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2566 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บอส. หรือ IAM) ได้โพสต์ชี้แจงถึงข่าวที่ปรากฏผ่านสื่อออนไลน์และสื่อสาธารณะ พร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะหาแนวทางชดเชยผู้เสียหาย ด้วยการขยายเวลาชำระหนี้ โดยระบุว่า
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญในการให้บริการกับลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) ตระหนักถึงสิทธิของลูกค้า และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มความสามารถ โดยได้หารือร่วมกับลูกค้าหรือผู้ร้องเรียน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ลูกค้าสามารถโอนขายทรัพย์ตามความประสงค์ได้อย่างเร็วที่สุด และหาแนวทางชดเชยเยียวยาจนเป็นที่พอใจของลูกค้าและผู้ค้ำประกันแล้ว จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้
บสอ. มีการเก็บรักษาเอกสารสำคัญของลูกค้าภายในห้องมั่นคง และมีกระบวนการควบคุมการเข้าถึงการเบิกใช้เอกสารเพื่อป้องกันการสูญหาย และการนำไปใช้ที่ไม่สมควร สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บสอ.ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าโฉนดที่ดินของลูกค้าไม่ได้เกิดการสูญหายในระหว่างเก็บรักษาของ บสอ.
อย่างไรก็ตาม บสอ.รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยขอรับมอบอำนาจจากลูกค้าไปดำเนินการออกใบแทนหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ซึ่งตามขั้นตอนทราบว่าภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ลูกค้าจะสามารถใช้ใบแทนฯ ดังกล่าวทำการโอนขายทรัพย์ได้
ในการนี้ บสอ.ได้มีมาตรการชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้า โดยจะขยายเวลาชำระหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือจนกว่าจะได้ใบแทนฯ และในระหว่างนี้ บสอ.จะงดคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ รวมทั้งจะทำการคืนเงินมัดจำ (Upfront) ทั้งจำนวนให้กับลูกค้าเพื่อนำเงินไปคืนให้กับผู้ซื้อทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
บสอ.ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ยังคงมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกหนี้ทุกรายให้กลับมาประกอบธุรกิจและดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจและชุมชน และเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้หนี้สาธารณะของประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเงินของประเทศชาติต่อไป
ทางธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ยืนยันว่ารับผิดชอบ และหาแนวทางเยียวยาแล้ว ซึ่งผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการพักชำระหนี้อย่างแน่นอน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
