ข่าว

‘แพรรี่’ โต้กลับ ‘อ.น้องไนซ์’ อย่าพูดส่งเดช พระพุทธเจ้าสอนธรรมะไม่มีการเชื่อมจิต

เปรียญ 9 มาเอง แพรรี่ ไพรวัลย์ อธิบายโต้ อ.น้องไนซ์ พระพุทธเจ้าสอนธรรมะไม่ต้องใช้การเชื่อมจิต แต่คนฟังตั้งใจอยู่แล้ว ลั่นอย่าพูดส่งเดชไปเรื่อย

สืบเนื่องจากกรณี อ.น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ เด็กชายวัย 8 ขวบ ที่อ้างว่าตนเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราช มีอภินิหารสามารถเชื่อมจิตผู้อื่นเพื่อหยั่งรู้เรื่องราวของลูกศิษย์ทั้งในอดีตและอนาคตได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าไว้ว่า

Advertisements

“พระพุทธเจ้าในสมัยที่ท่านสอนธรรมะ บางคนบอกว่า ไม่มีการเชื่อมจิต แต่ที่จริงมีการเชื่อมจิตครับ คือการสอนในสมาธิครับ ในยุคนั้นไม่มีไมโครโฟน คนมาฟังท่านตั้งร้อยพันคน ถ้าท่านไม่สอนในจิต เขาจะได้ยินยังไง คิดกันบ้างสิครับ”

งานนี้ทำเอาอดีตพระดังเปรียญธรรม 9 ประโยคขอไม่ทน แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ต้องออกมาอธิบายถึงวิธีการที่พระพุทธเจ้าใช้สอนธรรมะคนจำนวนมากอย่างไรให้เข้าใจกันทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน ผ่านทางเฟซบุ๊ก ไพรวัลย์ วรรณบุตร ความว่า

“พระพุทธเจ้าสอนคนเป็น 100 เป็น 1,000 ได้ยังไง

ประเด็นเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมอย่างไร ในกรณีที่คนฟังมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านได้เชื่อมจิตไปสอนในสมาธิแบบที่มีคนกล่าวอ้างหรือไม่ ดิฉันจะขอตอบให้แบบสั้นๆ นะคะ

เรื่องนี้ ถ้าคนที่เคยศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้าง จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยค่ะ

Advertisements

มีหลายที่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสชมภิกษุบริษัทของท่านว่ามีกิริยาอาการงดงาม มีความเคารพเป็นอย่างดีทั้งในตัวท่านและในพระธรรมที่ท่านเทศนาสั่งสอน

ในสมัยพุทธกาล เวลาที่ภิกษุบริษัทท่านอยู่ในธรรมสภานะคะและท่านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา ทุกรูปจะต้องพร้อมใจกันเงียบเสียงค่ะ นี่ในพระสูตรและอรรถกถากล่าวตรงกันเลย เป็นเรื่องของพุทธคาระวะตา และธรรมคารวะตา (คือการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าและพระธรรม)

ในพระสูตรกล่าวถึงขนาดว่า แม้แต่เสียงจามและเสียงไอยังไม่มีเลยนะคะ ดังนัันไม่ต้องพูดถึงว่า พวกภิกษุบริษัทเหล่านั้นจะพากันสนทนาหรือพูดคุยเรื่องอื่นใดๆ ต่อหน้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบด้วยว่า ถ้าท่านเงียบอยู่อย่างนั้นตลอดกัป ภิกษุบริษัทก็จะพากันเงียบอยู่อย่างนั้น จะไม่มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล้ายกเรื่องอื่นขึ้นพูดก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรม นี่เป็นเรื่องของมารยาทและอาจาระของภิกษุในสมัยพุทธกาลนะคะ

เรื่องนี้ พระเจ้าอาชาตศัตรูก็เคยพูดถึงไว้อย่างอัศจรรย์พระทัยเมื่อคราวที่หมอชีวกโกมารภัจจ์พาพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรกที่อัมพวัน คือที่อัมพวันเนี่ย พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับภิกษุ 1,250 รูป แต่พอพระเจ้าอชาตศัตรูไปถึงกับเหมือนวัดร้าง คือมันไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวหรือเสียงพูดคุยกันของภิกษุในอัมพวันนั้นเลย

ความเงียบที่ว่านี้ ถึงกับทำให้พระองค์สงสัยว่า ตัวเองกำลังถูกลวงมาลอบปลงพระชนม์นะคะ

อันนี้ก็เป็นเรื่องของอาจาระและวัตรปฏิบัติในการอยู่อย่างสมณะในสมัยพุทธกาลค่ะ ไม่ใช่เรื่องของความวิเศษอะไรเลย ถ้าใครศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้างจะทราบดีว่า พระพุทธเจ้าตำหนิการอยู่แบบคลุกคลีตีมง (การเผยแผ่ศาสนาในยุคแรกจึงห้ามการไปทางเดียวกัน 2 รูปไงคะ)

นอกจากพระเจ้าอชาตศัตรู ก็ยังมีพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หนึ่งนะคะ ที่อัศจรรย์พระทัยกับอากัปกิริยาของภิกษุบริษัทของพระพุทธเจ้า อย่างที่เคยตรัสถึงเหตุที่ทำให้พระองค์มีความเคารพศรัทธาอย่างมากเหลือเกินในพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่า

สมัยใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่บริษัททั้งหลายอยู่ ในบริษัทนั้นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่มีเสียงจามหรือเสียงไอเลย เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกพระสาวกได้ดีแล้วอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยได้เห็นบริษัทอื่นที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจากบริษัทในพระธรรมวินัยนี้

คือแม้แต่พระองค์เองซึ่งเป็นกษัตริย์ มีอำนาจมากก็ยังไม่อาจฝึกข้าราชบริพารไม่ให้พูดสอดขึ้นในระหว่างที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ได้เช่นพระพุทธเจ้าเลย

ดังนั้น การสอนธรรมกับคนจำนวนมากของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องของการสื่อสารจำเพาะ ระหว่างพระองค์กับกลุ่มสาวกบริษัทที่ได้รับการฝึกหัดด้วยพระธรรมวินัยอย่างดีแล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องของการเชื่อมจิต หรือใช้เทคนิคทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์แต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ

การบอกว่าในธรรมสภามีภิกษุจำนวนมาก ก็ได้หมายความภิกษุจำนวนเท่านัันทั้งหมด จะต้องเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมในคราวเดียวกันเท่ากันทั้งหมดนะคะ

ที่สำคัญในกรณีที่ทรงสอนธรรมกับคนทั่วไปเป็นจำนวนมากๆ มันก็มีทั้งที่ตั้งใจฟังและไม่ตัังใจฟังเป็นเรื่องปกติค่ะ มีทัังที่ฟังแล้วเข้าใจและบรรลุธรรมก็มี มีทัังที่ฟังแล้วไม่เข้าใจและไม่บรรลุอะไรเลยก็มี ไม่ใช่ว่าสอนได้ทั้งหมด บรรลุธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ค่ะ

ต้องเข้าใจให้ชัดแบบนี้ก่อนนะคะ เรื่องการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดส่งเดชไปเรื่อย แล้วก็ที่ยังขายอยู่ นั่นก็คือปลาอินทรีแดดเดียว ปลาหวานเนื้อปลาอินทรี น้ำพริกหรือทุเรียนทอด ฟังธรรมแล้วก็มาสั่งกันบ้าง จบ”

เรียกได้ว่าเป็นการอธิบายที่ชัดเจนและครบจบในโพสต์เดียว ใครที่ยังสงสัยว่าในอดีตพระพุทธเจ้าสอนธรรมะคนจำนวนมากอย่างไร แนะนำว่าให้ศึกษาเรื่องนี้หาคำตอบจากผู้รู้ที่แท้จริงจะดีกว่า

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Mothana

นักเขียนข่าวที่ Thaiger การศึกษาทางด้านภาษา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จึงรับหน้าที่เขียนบทความไลฟ์สไตล์บันเทิง เศรษฐกิจ อยากเป็นสื่อกลางคอยขุดคุ้ยประเด็นตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงใหญ่โตมาเขียนให้ทุกคนได้อ่าน เพราะมีความเชื่อว่าสื่อที่ดีย่อมเป็นหนทางนำผู้อ่านไปสู่งานเขียนที่ดีได้ ติดต่อได้ทาง tangmo@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button