ประโยคเด็ดวลีดังระดับตำนาน “ไม่ได้โม้” จากอดีตนักมวยดัง สมรักษ์ คำสิงห์ มีที่มาจากไหน ทำไมถึงเป็นประโยคฮิตติดหู ทั้งยังนำไปสู่ฉายา โม้อมตะ
แม้จะถอดนวมไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยห่างหายไปจากหน้าสื่อ สำหรับอดีตนักมวยชื่อดัง สมรักษ์ คำสิงห์ ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกที่สร้างชื่อเสียงมวยไทย ให้ดังไกลระดับโลก นอกจากผลงานการแข่งขันมวยและผลงานละครชื่อดังแล้ว เชื่อว่าหลายท่านที่ติดตามวงการสังเวียนมวยหรือวงการบันเทิง ต่างต้องเคยได้ยินประโยค “ผมไม่ได้โม้” ของสมรักษ์จนกลายเป็นประโยคอมตะประจำตัว
แล้วประโยคฮิตนี้มีที่มาจากไหนกันแน่ บทความนี้ทีมงาน Thaiger ขอพาย้อนกลับไปสมัยที่สมรักษ์ยังเป็นเจ้าสังเวียน ไปดูต้นเรื่องที่ทำให้ประโยคนี้ขึ้นมา
ไม่ได้โม้ เพราะได้เหรียญทองโอลิมปิกตามที่พูด
ประโยคนี้มีที่มาจากการเดินทางเข้าสู่ทีมชาติ ก่อนหน้านี้สมรักษ์เคยเป็นนักมวยมือสมัครเล่น โดยมีคุณพ่อคอยฝึกวิชาให้ จากนั้นมา สมรักษ์ก็ตระเวนขึ้นชกตามเวทีมวยต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับงานวัด จนไปถึงสนามมวยระดับประเทศอย่าง เวทีราชดำเนินและเวทีลุมพินี
เมื่อฝึกปรือจนมากประสบการณ์ก็ได้ขึ้นชกกับนักมวยดังต่าง ๆ มากมาย กระทั่งได้ชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของสโมสรราชนาวี กองทัพเรือ จนได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ ก่อนที่จะเข้าสู่ได้เข้าสู่สังเวียนระดับโลก
สมรักษ์ได้ขึ้นสังเวียนในฐานะทีมชาติครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2535 ในการแข่งขันโอลิมปิก ที่บาร์เซโลนา ประเทศสหราชอาณาจักร จากนั้นก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันมวยทหารโลกที่ประเทศอิตาลี และสามารถคว้าเหรียญทองมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นนักกีฬาเพียงคนเดียวของทีมชาติไทยที่ได้เหรียญทอง เมื่อ พ.ศ. 2536
ต่อมา พ.ศ. 2537 สมรักษ์ได้เข้าร่วมในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 จากนั้น พ.ศ. 2538 ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ และผ่านการคัดเลือก เพื่อไปแข่งกีฬาโอลิมปิกรอบสุดท้าย ใน พ.ศ. 2539
หลังจากที่ร่ายยาวรายการการแข่งขันชกมวย ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 – 2539 จะเห็นว่า แต่ละรายการที่สมรักษ์ขึ้นชก ล้วนเป็นการแข่งขันชกมวยระดับนานาชาติทั้งสิ้น ซึ่งจุดที่ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาแบบก้าวกระโดด คือการเข้าร่วมการแข่งโอลิมปิก ใน
ฐานะนักมวยทีมชาติไทย
ก่อนการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา สมรักษ์มีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลอด 4 ปีที่ติดทีมชาติ เขาเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกทุกแมตช์ อีกทั้งยังได้เหรียญติดมือกลับบ้านทุกครั้ง ถือเป็นการฝึกฝนฝีไม้ลายมือ และมีประสบการณ์มาเยอะมากพอสมควร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนักข่าวสัมภาษณ์สมรักษ์ว่า การแข่งขันโอลิมปิกรอบนี้ สมรักษ์มีความตั้งใจอย่างไรบ้าง ซึ่งเขาตอบชัด ๆ เลยว่า “ผมได้เหรียญทอง” ผลปรากฏว่า สมรักษ์สามารถคว้าเหรียญจากโอลิมปิกมาได้จริง โดยการเอาชนะเซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ด้วยคะแนน 8-5 และนี่จึงเป็นที่มาของประโยค “ไม่ได้โม้” เพราะพูดแล้วทำได้จริงนั่นเอง
นอกจากประโยคดังระดับตำนาน “ไม่ได้โม้” ที่คนไทยแทบทุกรุ่นต่างก็เคยได้ยินมาแล้ว การได้เหรียญทองจากโอลิมปิก ยังทำให้สมรักษ์มีชื่อเสียงมากมาย อีกทั้งยังมีผลงานละครดังเรื่องแรกอย่าง นายขนมต้ม ตามด้วยซิตคอม และภาพยนตร์มากมายอีกด้วย
จาก “ไม่ได้โม้” สู่ฉายา “โม้อมตะ”
เหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อน ถือเป็นใบเบิกทางในสายงานอื่น ๆ ให้กับสมรักษ์ นอกจากผลงานละคร หรือภายนตร์แล้ว เขาเปรียบดังบุคคลสาธารณะท่านหนึ่งที่เป็นซุปตาร์ขวัญใจชาวไทย อีกทั้งยังมีงานในวงการบันเทิงเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยความเป็นเฮอาสนุกสนาน
ปริมาณงานที่ได้รับในวงการบันเทิง ทำให้สมรักษ์มีเวลาฝึกซ้อมมวยน้อยลง แต่เขาก็ยังมองว่าฝีมือการชกของตัวเองไม่เคยด้อยลง ทั้งยังทำนายผลการชกล่วงหน้า เหมือนที่เคยทำตอนแข่งขันโอลิมปิก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ทุกรอบ ด้วยเหตุนี้ สมรักษ์จึงได้ฉายาว่า “โม้อมตะ”นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เจ้าของวลีเด็ด “ผมไม่ได้โม้” ก็ปล่อยวางทุกอย่าง แล้ววางมือจากวงการมวยสากลสมัครเล่นไป เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันที่ไม่ได้เป็นตามเป้าหมาย เหมือนเช่นสมัยที่ยังวัยเยาว์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังปรากฏตัวตามหน้าสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องยูทูบของลูกสาว รวมถึงออกรายการดังต่าง ๆ มากมายเช่นเคย
และนี่คือที่มาของประโยคเด็ดสู่ฉายาดังของอดีตนักมวยไทย แม้จะมีบุคลิกขี้เล่น ดูสนุกสนาน แต่สมรักษ์ คำสิงห์ ถือเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยมากความสามารถ และเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนไทยที่รักในการกีฬามวยอีกด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง