‘แจม เนโกะจัมพ์’ เปิดอกเล่าถึงช่วงเวลายากลำบาก ครั้งหนึ่งเคยเผชิญมรสุมลูกใหญ่ เพราะความรักพังจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เผยทั้งน้ำตาเคยคิดอยากหายไปจากโลกใบนี้
ศิลปินดูโอ้สาวสุดโด่งดังแห่งยุค แจม ชรัฐฐา อิมราพร หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันในนาม แจม เนโกะจัมพ์ คนบันเทิงที่เพรียบพร้อมไปด้วยความสามารถ และใบหน้าที่งดงาม แม้เบื้องหน้าสาวแจมจะเป็นคนที่ดูสดใสและยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่การอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์มาเป็นเวลาหลายปี เธอกลับต้องเผชิญกับช่วงเวลายากลำบากมาไม่น้อยจากการเป็นคนบันเทิงที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก
ในรายการ WOODY INTERVIEW ของพิธีกรมากความสามารถ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ที่ออกอากาศผ่านช่องทางยูทูบ WOODY เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา แจม เนโกะจัมพ์ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งเหตุที่ทำให้เธอห่างหายไปจากวงการบันเทิง ทั้งปัญหาที่ถาโถมจนเป็นเหตุให้สภาพจิตใจของเธอแย่ลง รวมถึงเรื่องราวความรักในอดีต
ในช่วงต้นของรายการวู้ดดี้ได้ถามสาวแจมถึงปัญหาสุขภาพ ซึ่งทางพิธีกรหนุ่มเองก็เชื่อว่าเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนกำลังพบเจออยู่ในชีวิต ‘การเป็นโรคซึมเศร้า’ ที่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร
ซึ่งสาวแจมก็ได้เผยถึงเรื่องนี้ว่า “คือตอนที่เราเป็นโรคซึมเศร้า เราจะไม่ได้ตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่งแล้วเราสามารถรู้ได้ว่าฉันผิดปกติ ฉันต้องไปหาหมอ ฉันเป็นซึมเศร้าหรืออะไร คืออาการมันก็จะมาอยู่เรื่อย ๆ ค่อย ๆ เป็นขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว บุคลิก นิสัย หรือว่าการที่เราเปลี่ยนพฤติกรรม มันค่อย ๆ เปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้เลย
อันดับแรกคือรู้สึกว่าไม่สามารถพบปะผู้คนได้ ไม่อยากเจอใคร งานก็ไม่อยากรับ ไม่อยากเจอแฟนคลับ หรือแม้กระทั่งเพื่อน เราไม่คุยกับใครเลยเหมือนเราเก็บตัว ตื่นเช้ามานอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ซึ่งอาการทั้งหมดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโรคซึมเศร้าที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
เราเหมือนหลงทางไป แม้จะโตมาขนาดนี้แล้วผ่านเหตุการณ์ในชีวิตเยอะแยะ ปกติแล้วเราสามารถรับมือได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ แต่ว่าช่วงที่เป็นเราไม่มีเหตุผลเลย ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เลย จะรู้สึก Negative กับตัวเองตลอดเวลา เกิดความคิดลบกับตัวเอง รู้สึกไร้ค่า เหมือนว่าเราอยากจะตาย ซึ่งเป็นความคิดที่แย่มาก ๆ ทำให้ครอบครัวผิดหวัง จากการที่เราไม่ยอมลุกมาทำงาน ไม่รับงานเลย อยู่แต่บ้าน
ทุกคนก็พยายามเข้าหาเรา แต่เราก็ผลักไสเขาออกไป แล้วก็มารู้สึกผิดกับตัวเองอีกว่าครอบครัวช่วยเหลือเรามาขนาดนี้ คือบ้านหนูเป็นคนธรรมดา กว่าหนูจะมาเป็นดารา กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่เรากลับมีความคิดแย่ ๆ แล้วก็รู้สึกว่าไม่เอาอะไรแล้ว เลิกทุกอย่างในชีวิต”
ช่วงชีวิตตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
“ช่วงชีวิตตอนนั้นมันเหมือนมืดไปหมดเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่เรามีคนรอบตัว แต่เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว แล้วเรารู้สึกว่าเป็นภาระให้กับทุกคน ฉันอยากที่จะหายไป อยากให้ตัวเองหายไปจากโลกนี้ทุกคนจะได้มีความสุขมากขึ้น คือมันจะเป็นความคิดแบบนั้น แล้วมันหยุดคิดแบบนั้นไม่ได้”
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ รู้เหตุผลหรือไม่ว่าสะสมมาจากอะไร แล้วจัดการกับมันยังไง ถึงสามารถนั่งต่อหน้าพี่วู้ดดี้ได้ถึงวันนี้
“คือเราเคยมีชีวิตที่อยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ ตอนที่เป็นเนโกะจัมพ์ใช่ไหมคะ แล้วพอหลังจากนั้นเราก็เหมือนอยากจะเริ่มบทใหม่ของชีวิต คิดว่าพอแล้วกับการทำงานในวงการ เส้นทางใหม่ของเราคืออยากจะทุ่มเทให้กับการเป็นภรรยาของใครสักคนหนึ่ง อยากที่จะทุ่มสุดตัวให้กับตรงนั้น แล้วพอมันไม่ได้เกิดขึ้น เลยรู้สึกว่าเลือกทางเดินผิด ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่เสียสละให้เรามาตลอด
แม่เสียสละที่จะออกจากการทำงานของตัวเองเพื่อมาสนับสนุนเราแบบเต็มตัวจนมาถึงจุดนี้ แต่ว่าเราเลือกที่จะทิ้ง แล้วพอสิ่งที่คิดว่ามันดีกว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นก็เลยคิดว่าเราตัดสินใจได้แย่ ทำให้ทุกอย่างมันล้มไปหมด จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ดูเป็นเรื่องใหญ่โลกแตก แต่ว่าในสภาวะของอารมณ์ของการเป็นซึมเศร้ามันใหญ่มาก ๆ ในตอนนั้น
คิดอย่างอื่นไม่ได้เลยค่ะ คือถ้าคนอารมณ์ปกติเขาก็จะโอเคทุกคนมีปัญหาในชีวิต เราสามารถผ่านมันไปได้ เครียดหน่อย ร้องไห้หน่อย เดี๋ยวมันก็จะจบ เราสามารถเดินออกจากตรงนั้นได้ แต่ว่าพอมันมีปัญหาเป็นโรคซึมเศร้า เคมีในสมองมันผิดปกติไป ทำให้เราเป็นวังวนอยู่แบบนี้แล้วออกไม่ได้เลย ตอนที่เป็นก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าจะจัดการกับมันเองได้ ปล่อยให้อาการมันหนักขึ้น หนักขึ้น รวมถึงไม่ได้รับรู้ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึน แต่พอรู้เราก็ไม่กล้าที่จะบอกใคร ไม่กล้าที่จะทำอะไร เพราะรู้สึกอับอาย กลัวว่าหากไปหาหมอแล้วคนอื่นจำเราได้จะทำอย่างไร เราจะรู้สึกอาย”
จุดเปลี่ยนในตอนไหน
“วันที่เราบอกว่า เราอยากจะหายไปค่ะ นอนคิดอยู่กับตัวเองว่าถ้าที่บ้านไม่มีเราดีกว่าไหม หลังจากที่เราคิดแบบนั้น เรานอนอยู่บนเตียงแล้วก็วางโทรศัพท์เอาไว้ แล้วโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความในแชตของครอบครัวว่า กินข้าวไหม โอเคไหม หนูรักพี่นะ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว เราเหนื่อยกับการที่จะต้องเป็นแบบนี้ตลอดเวลา เราอยากหาย จุดนั้นจึงตัดสินใจว่ายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ณ ตอนนี้ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ค่ะว่ามันคือโรคซึมเศร้า แต่รู้ว่าจิตใจเราไม่ปกติ ก็เลยตัดสินใจที่จะไปหาจิตแพทย์ รักษาอยู่ประมาณ 2 ปี ถึงรู้สึกว่าโอเคมันหายไปแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว”
จากเรื่องราวทั้งหมดที่สาวแจมได้นำมาแบ่งปันผ่านรายการ WOODY INTERVIEW นั้น เป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังเผชิญอยู่ในสภาวะจิตใจแบบเดียวกัน ทั้งนี้อาจมาจากสาเหตุที่แตกต่างกัน และความผิดปกติอื่น ๆ ทางร่างกาย อย่างไรก็ดี หากผู้ใดที่กำลังรู้สึกอับอายที่จะไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเยียวยาอาการที่เกิดขึ้น จากประสบการณ์ที่สาวแจมได้นำมาเล่านั้นพบว่า การปรึกษาแพทย์เป็นทางออกที่ดีที่สุด สุดท้ายนี้ Thaiger ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับสาวแจม และยินดีอย่างยิ่งกับการที่ได้เห็นสาวแจมกลับมาสดใสอีกครั้ง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โมเมนต์อบอุ่น ‘สงกรานต์-แอฟ’ ร่วมเฟรมงานฉลองวันเกิด ‘คุณปู่ไพวงษ์’
- นางงามสปป.ลาว โพสต์เชียร์เพื่อนซี้ ‘แอนโทเนีย’ คอนเฟิร์มมงสามมาแน่
- แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สสัดลุคแบ๊ว อวดรูปหวิวครั้งแรก ฟลุ๊ค จิระ เห็นแล้วกุมขยับ